
เทคนิคการสอบสัมภาษณ์เข้ามหาลัยเพื่อเรียนต่อ
ตอนนี้หลาย ๆ คนที่กำลังสอบเข้ามหาวิทยาลัย คงทราบผลการมีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์มหาวิทยาลัยในดวงใจกันแล้ว และบทสัมภาษณ์คือ “ขั้นตอนสุดท้าย” ของการคัดเลือกเป็นนักศึกษา นักศึกษา ในสถาบันนั้น ๆ ซึ่งหากเตรียมไว้ล่วงหน้าก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว วันนี้ทีมงานมีทริคดี ๆ มาฝาก พร้อมแนวทางการตอบคำถามที่จะเพิ่มความพร้อมและลดความตื่นเต้นให้กับน้อง ๆ ในวันที่สัมภาษณ์แน่นอน วันนี้ คนขั้นเทพ จะพามาดู
7 คำถามที่ต้องเจอในการสอบสัมภาษณ์เข้าคณะที่ชอบ
1. แนะนำตัว

เริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการแนะนำตัวเอง ถึงจะบอกว่าง่ายก็ไม่สามารถแนะนำรุ่นให้ถามหรือไม่สนใจได้ เพราะที่นี่ผู้สัมภาษณ์จะเห็นว่าเราเป็นคนแบบไหนผ่านการพูดคุยครั้งแรก ดังนั้นจึงควรมีการเตรียมตัวเพื่อแนะนำตัวเองบ้าง ลำดับเรื่องที่อยากพูดก็เป็นระเบียบ อย่ากระโดดข้าม คุณควรฝึกฝนก่อนที่จะมีสติ คิดบวก แสดงความสุภาพ พูดจาไพเราะ ยิ้มและสร้างความประทับใจครั้งแรก
2. ทำไมถึงเลือกเรียนคณะนี้/ที่นี่?

คำถามแรกในการสอบสัมภาษณ์ มักจะเป็นคำถามปลายเปิดเสมอ และหากคำตอบนั้นดี คำถามต่อไปก็จะเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าตอบไม่ดี อาจจะมีคำถามต่อเนื่องกัน ดังนั้นถ้าเรามีคำตอบในใจ มีเหตุผล มีน้ำหนัก และแสดงทัศนคติได้ดี ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล ซึ่งจะตอบแค่ว่า “ชอบ” คงจะหนักไม่พอ แนะนำว่าน้องๆ ควรหาเหตุผลมาโยงคำว่า “ถูกใจ” ไว้เป็นข้อผูกมัดว่าอยากเรียนคณะนี้จริงๆ หรือที่นี่ เช่น อยากเข้าคณะนิเทศศาสตร์เพราะรู้ว่าชอบสาขานี้ พยายามหาโอกาสให้ตัวเองได้ทำงานที่คุณชอบอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น MC ในงานโรงเรียนหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสาขานี้ มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีชื่อเสียงในด้านนี้ มีสาขาและหลักสูตรที่ตรงกับความต้องการในการเรียน ถึงคณะหรือสถาบันที่รับอาจไม่ใช่ที่แรกที่เลือก แต่ไม่ควรพูดเพราะไม่ได้อันดับ มาที่นี่ก่อน เพราะทุกยศ ทุกคณะที่คุณเลือก ฉันเชื่อว่านี่คือสิ่งที่คุณตั้งใจจะเรียนอยู่แล้ว ดังนั้นโปรดภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในนักเรียนของสถาบันนั้น
3. รู้ไหมว่าคณะ/สาขานี้เรียนอะไร?

การสอบสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์ขอทดลองดูว่าอาจารย์ได้รวบรวมข้อมูลมามากน้อยเพียงใด ดังนั้นสิ่งที่ควรรู้ก่อนจะมาคือสาขา คณะที่เรียนมา อาชีพไหนจบได้ และอาชีพอะไร? สามารถพบได้ง่ายบนเว็บไซต์ของสถาบันนั้น ๆ ซึ่งไม่ต้องสืบว่ากี่หน่วยกิต กี่ชั่วโมง แต่หาข้อมูลแบบเจาะลึก เป็นอาวุธทางเลือก แต่งคำดี ๆ สักสองสามคำก็ตอบได้ และที่สำคัญ ความมั่นใจในการตอบก็สำคัญ คำถาม
4. ทำกิจกรรมอะไรบ้าง? /มาเรียนที่นี่ แล้วจะทำกิจกรรมอะไร?

คำถามนี้ไม่ได้ทำให้ใครออกจากการสอบสัมภาษณ์ แต่เป็นเพียงการตรวจสอบว่าพวกเขาสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้หรือไม่ รวมถึงจิตอาสาของน้อง ๆ ที่หากไม่เคยไปถึงเวทีการแข่งขันต่าง ๆ คุณยังสามารถพูดคุยเกี่ยวกับงานที่คุณมีส่วนร่วม เช่น งานกีฬาที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพนักงาน ขบวนพาเหรด หรืองานค่ายที่จัดโดยโรงเรียน
5. บอก “ข้อดี” และ “ข้อเสีย” ของคุณ

ส่วนข้อดีให้นักเรียนตอบอย่างมั่นใจว่ามีข้อดีอะไรบ้าง และเพิ่มเหตุผลเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อทำให้มันดูลอยขึ้นหรือดูเหมือนจริงเกินไป เช่น “ข้อดีคือมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ทำให้เป็นคนที่สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็นทีมได้ดี” ส่วนข้อเสีย ถ้าเด็ก ๆ ตอบว่า “ไม่” ก็อาจจะดูไม่ดี ขอแนะนำให้คุณพูดถึงข้อเสียและวิธีแก้ไขข้อบกพร่องของคุณ เช่น “ข้อเสียของคุณคือการถูกลืม ดังนั้นเราจึงต้องมีรายการสิ่งที่ต้องทำและตรวจสอบสิ่งที่ต้องทำต่อไป” ทำให้เราดูเหมือนคนที่รู้ข้อดีข้อเสียและพร้อมที่จะปรับปรุง
6. “แล้วถ้าคุณไม่ติดอยู่ที่นี่ คุณจะทำอย่างไร”

อย่าตกใจหรืออารมณ์เสียเมื่อได้ยินคำถามนี้ในการสอบสัมภาษณ์ มันเป็นเพียงคำถามที่ดูเหมือนมีไหวพริบและครุ่นคิดหลังจากแรงกดดัน อย่าตอบว่าไม่รู้ ไม่ทราบครับ แต่แนะนำให้พูดถึงความตั้งใจของนักศึกษาที่จะเข้าร่วมคณะนี้และคณะนี้ก่อนครับ “ถ้าไม่ติดก็ขอโทษด้วยนะ แต่จะสู้ในรอบต่อไป เพราะครั้งนี้ฉันพยายามอย่างเต็มที่และมีโอกาสเข้าคณะและมหาวิทยาลัยที่ตรงใจฉัน ยังไงฉันก็จะพยายามต่อไป” เพื่อจะได้มาเรียนที่นี่”
7. “คุณมีคำถามอะไรไหม?”

เป็นคำถามท้ายบทสอบสัมภาษณ์ ห้ามตอบว่า “ไม่มี” เพราะเป็นคำถามเดียวที่วัดทุกอย่างรวมทั้งความตั้งใจและความสนใจ ดังนั้นคุณควรมีคำถามในใจ อาจเป็นคำถามเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมหรือเป็นคำถามที่คุณสงสัยจริงๆ ซึ่งต้องเกี่ยวข้องกับการสัมภาษณ์คณะที่ศึกษา เช่น “อาจารย์มีที่ฝึกงานแนะนำไหม” หรือ “เข้าคณะนี้ มีอะไรควรเตรียมเป็นพิเศษไหม?” เป็นต้น เพื่อแสดงว่าอยากเรียนคณะนี้จริง ๆ
การฝึกตอบการสอบสัมภาษณ์มหาวิทยาลัย 7 คำถามที่ต้องเจอจะเป็นประโยชน์กับน้อง ๆ ทุกคน และไม่ต้องตื่นเต้นกับการสัมภาษณ์จนลืมไปว่าสิ่งที่สำคัญคือการทำ Portfolio ซึ่งเป็นการรวบรวมข้อมูลของน้อง ๆ ผลงานต่าง ๆ ใบรับรองต่าง ๆ ให้ครูได้รู้จักในเบื้องต้น และเป็นสิ่งที่สนับสนุนคำพูดของน้อง มีความน่าเชื่อถือและมีน้ำหนักมากกว่า เรียกได้ว่าเป็นการสร้างความสนใจให้กับน้อง ๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก cpall